ประวัติพระครูสุมนคณารักษ์
(ปลื้ม จิตฺตสญฺญโต) เปรียญธรรม ๔ นักธรรมเอก อดีตเจ้าอาวาสวัดสวนหงส์
อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
ชาติภูมิ
หลวงพ่อปลื้ม เป็นบุตรของโยมผู้ชายสนและโยมผู้หญิงชื่น ถือ กำเนิดที่บ้านยอด ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะแม
โยมผู้ชาย
โยม ผู้ชายสน ศุภพินิจ เป็นชาวบ้านสวนขิง อำเภอบางปลาม้า จังหวัด สุพรรณบุรี บิดาของโยมผู้ชายเป็นผู้ใหญ่บ้านชื่อตู้ มารดาชื่อมอญ ปู่ตู้ได้ รับพระราชทานนามสกุลว่า ศุภพินิจ นามสกุลนี้ ภายหลังมีความผิดพลาดในการคัด ลอก ทำให้ผู้ใช้นามสกุลศุภพินิจบางครอบครัวต้องใช้ว่า สุขพินิจ
ตัว โยมผู้ชาย มีอาชีพจารหนังสือขอม รับจ้างเขียนพระบฏ (ภาพวาดพระพุทธเจ้าบนผืน ผ้าสำหรับแขวนไว้เพื่อบูชา) ด้วยความสามารถในด้านการวาดภาพ โยมผู้ชายฝาก ฝีมือวาดภาพไว้ที่ฝาผนังมณฑปวัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี แม้ ปัจจุบันภาพส่วนมากจางหายไป เนื่องมาจากเวลาที่ผ่านมานานร่วมร้อยปี ประกอบ กับน้ำท่วม และน้ำฝนที่ไหลซึมตามรอยรั่วของหลังคามณฑป แต่ก็ยังคงเหลือบาง ส่วนที่ชัดเจน แสดงให้เห็นถึงฝีมือของผู้วาด ขนาดที่ว่า ช่างจากกรมศิลปากร ที่มาดูแลทำความสะอาดและรักษาภาพวาดฝาผนังมณฑปวัดน้อย ถึงกับออกปากว่า... “ต้องการอนุรักษ์ฝีมือช่างพื้นบ้านที่ไม่ใช่ช่างหลวงนี้เอาไว้ ให้นักศึกษาทางด้านจิตรกรรมฝาผนังได้มาศึกษากัน”
นอกจากนี้ โยมผู้ชายยังฝากฝีมือวาดภาพไว้ที่หอสวดมนต์วัดมณีวรรณ ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นภาพวาดพุทธประวัติ
ดัง ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือจิตรกรรมฝาผนังในจังหวัดสุพรรณบุรี จัดทำโดยคณะ กรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดสุพรรณบุรี เรียบเรียง โดยอาจารย์รัตนมณี คันธฐากูร ความว่า...
“วัดน้อย บ้านยอด ตำบลโคกคราม"
จิตรกรรม ภายในมณฑป เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาวไม่รองพื้น อายุรัตนโกสินทร์ พ.ศ .๒๔๕๐ ฝีมือช่างพื้นบ้าน (อาจารย์สน ศุภนิมิตร) เรื่องราวของ จิตรกรรม เรื่องพุทธประวัติ เทพชุมนุม พระมาลัย
“วัดมณีวรรณ ตำบลโคกคราม”
จิตรกรรมคอสองหอสวดมนต์ เขียนด้วยสีฝุ่นบนไม้มีรองพื้น อายุรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๔๕๙ – ๒๔๖๔ ฝีมือช่างพื้นบ้าน (อาจารย์สน ศุภมิตร) และช่างกรุงเทพฯ เรื่องราวของจิตรกรรม เรื่องพุทธประวัติ
จากข้อมูลในหนังสือนี้ อาจารย์รัตนมณีผู้เรียบเรียงให้คำชี้แจงเพิ่มเติมว่า “นาม สกุลทั้งสองแห่งนั้น ผิดพลาดที่การเรียงอักษรและการตรวจอักษร ที่ถูกต้อง คือ อาจารย์สน ศุภพินิจ ซึ่งเป็นโยมผู้ชายของหลวงพ่อปลื้มนั่นเอง”
แม้ ว่าโยมผู้ชายมีความสามารถในด้านอ่านเขียนหนังสือไทย จารหนังสือขอมได้งด งาม และที่สำคัญโยมผู้ชายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อเนียมวัดน้อย มีความ เพียรพยายามปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จนมีความสามารถถึงขั้นที่หลวงพ่อเนียมครอบ เป็นครูกรรมฐาน มีความรวดเร็วในเรื่องของสมาธิ หลวงพ่อเคยเล่าว่า... “เคยถามโยมผู้ชายว่าจะศึกษาทางปริยัติไปได้แค่ไหน ? โยมผู้ชายหลับตาแล้วตอบทันทีว่า “เห็นแค่เลข ๔” ภายหลังแม้ว่าหลวงพ่อจะตั้งจุดหมายไว้ว่า ต้องเรียนให้จบเปรียญ ๙ แต่ก็มีเหตุขัดข้องให้ได้แค่เปรียญ ๔ ตามที่โยมผู้ชายมองเห็น” และอีกความสามารถหนึ่งของโยมผู้ชาย คือความสามารถด้านหมอรักษาโรค เรื่องนี้หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า... “มี คนมาขอความช่วยเหลือจากโยมผู้ชาย โยมผู้ชายนั่งดู พิจารณาว่าจะต้องสร้าง พระ ก็บอกจำนวนไปจนเขาพอใจ แล้วเขาก็หันหลังไป แสดงว่าเขายอมรับ ก็รักษา ได้ แต่ถ้าเขาไม่ยอม ก็ช่วยไม่ได้ ต่อมาพระเกิดขลัง มีคนมาหาเช่า ...” นอก จากนี้โยมผู้ชายยังมีอีกหลายความสามารถ เช่นงานปั้นรูปเหมือนเล็ก ๆ เป็นเรื่องราวในนรกที่ปรากฏอยู่ในโบสถ์วัดน้อย การสร้างวัตถุมงคล ฯลฯ
ด้วยความสามารถในหลาย ๆ ด้านของโยมผู้ชาย ผนวกกับที่ท่านเคยอยู่ในสมณเพศ จึงเป็นเหตุให้ผู้คนทั่วไปในแถบนั้นเรียกท่านว่า “อาจารย์สน”
ในบั้นปลายของชีวิต โยม ผู้ชายย้ายไปอยู่ที่บ้านห้วยตายัง ตำบลหนองโอ่ง อำเภออู่ทอง จังหวัด สุพรรณบุรี มีครอบครัวใหม่ ภรรยาชื่อทิว มีบุตรสาวชื่อภณิดา โยมผู้ชายเริ่ม ป่วยในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ แล้วถึงแก่กรรมในปีถัดมา และในปี พ.ศ.๒๔๘๙ อาสำเนียงและญาติได้ไปนำกระดูกของโยมผู้ชายที่ฝังอยู่ที่เขาตะ เก้า บ้านห้วยตายัง กลับมาบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจที่วัดน้อย อำเภอบางปลา ม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ในครั้งนี้ อาสำเนียงเป็นแม่งานดำเนินการจัดการงานศพ ทั้งหมด
ในงานศพ พระ มหาปลื้มซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดปราสาททอง อำเภอเมือง จังหวัด สุพรรณบุรี ได้มาจัดทำพิธีมหาบังสุกุลให้แก่โยมผู้ชายที่บริเวณมณฑปวัด น้อย ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ได้สร้างหนังสือพระไตรปิฏกหนึ่งชุดอุทิศให้แก่โยมผู้ชาย หนังสือ ชุดนี้ยังปรากฏอยู่ที่วัดสวนหงส์ จากนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ พระมหาปลื้มตัดสินใจนำอัฐิของโยมผู้ชายมาบรรจุไว้ที่เสาป้ายชื่อ วัดสวนหงส์ ตรงท่าน้ำหน้าศาลาการเปรียญวัดสวนหงส์ แล้วจารึกข้อความไว้ว่า “อิทํ “สน ศุภพินิจ” อิตินามสฺส สจกฺขุโน อุปาสกสฺส พุทฺธสเก”
โยมผู้หญิง
โยม ผู้หญิงชื่น จันทร์กระจ่าง เป็นชาวบ้านยอด อำเภอบางปลาม้า จังหวัด สุพรรณบุรี บิดาของโยมผู้หญิงเป็นคหบดีชื่อจ่าย มีอาชีพทำสวน มีสวน มะม่วง บ้านของโยมตาโยมยายนั้นกว้างขวางมากขนาดวัดสวนหงส์ ภายหลังสมบัติก็ อันตรธานไปหมด หลวงพ่อเล่าว่า... “แม้โตขึ้น เห็นก็ไม่เสียดายหรืออยากได้ เพราะเคยมีเคยอยู่มาแล้ว”
ตัว โยมผู้หญิงมีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพ มักจะเปลี่ยนอาชีพไปตามความจำ เป็น ทำนาบ้าง ทำสวนบ้าง หาบของขายบ้าง ค้าขายบ้าง ล่องเรือค้าขายบ้าง แต่ ละอาชีพล้วนลำบากตรากตรำ แต่ก็ไม่เคยได้ร่ำรวยและสุขสบายเลย ไม่เคยอยู่เป็น หลักแหล่ง โยกย้ายถิ่นทำมาหากินไปเรื่อย ๆ แม้เมื่อครั้งพระลูกชายสอบได้เปรียญ ๓ เป็นพระมหาปลื้ม ต้องการแจ้งข่าว ให้โยมผู้หญิงได้อนุโมทนา กว่าจะทราบข่าวคราวแหล่งที่อยู่ ก็ต้องออกธุดงค์ เพื่อสืบหาและตามร่องรอยไปเรื่อย ๆ จนที่สุดได้พบกับโยมผู้หญิงในขณะที่โยมผู้หญิงกำลังทำงานอยู่กลางทุ่ง โยม ผู้หญิงถึงกับตกตะลึง ด้วยไม่คาดฝันว่าผู้ที่มาหานั้นคือพระลูกชาย
ใน บั้นปลายชีวิต ลูก ๆ จากครอบครัวใหม่ เห็นโยมผู้หญิงชราภาพมากแล้ว จึงขอร้องให้หยุดทำงาน หลวง พ่อถือโอกาสนี้ แสดงกตเวทิตาต่อโยมผู้หญิง โดยขอให้โยมผู้หญิงมาอยู่ที่ตลาด บางปลาม้า เพื่อให้ได้พักผ่อน และเข้าสู่กระแสธรรมบ้าง อย่างน้อย ก็ให้ได้ มีโอกาสเห็นชายผ้าเหลืองของพระลูกชายทุกวันก็ยังดี
แม้ กระนั้น โยมผู้หญิงก็ยังไม่ละทิ้งความขยันขันแข็งที่ติดอยู่เป็นอุปนิสัย จะ ข้ามฟากจากบ้านเช่าฝั่งตลาดมาที่วัดสวนหงส์ ปลูกพริก กระ เพรา โหระพา พลู ประเภทพืชผักสวนครัว ตามริมตลิ่ง พืชผักของโยผู้หญิงงามมาก
ที่ สุด โยมผู้หญิงก็ถึงแก่กรรมอย่างสงบด้วยโรคชรา งานศพอยู่ในความอนุเคราะห์ ดูแลของพระครูสุมนคณารักษ์ (ปลื้ม จิตฺตสญฺญโต) เจ้าอาวาสวัดสวนหงส์ ซึ่ง เป็นพระลูกชายของท่าน
หลวง พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่โยมผู้หญิงถึงแก่กรรมใหม่ ๆ หลวงพ่อให้นินาทนั่ง (สมาธิ) ดูว่าโยมผู้หญิงเป็นอย่างไรบ้าง นินาทบอก หลวงพ่อว่า “กำลังท่องเที่ยวอยู่ สั่งให้ช่วยดูต้นพลูด้วย อย่าให้เหี่ยว รดน้ำให้ด้วย” หลังจากนั้นหลวงพ่อก็สั่งให้นินาทนั่งดูอีกครั้ง ครั้งหลังนี้นินาทบอกหลวงพ่อว่า “ขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าแล้ว” เพื่อนของข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า “ที่ได้ภพภูมิสูงขึ้นนี้ เพราะบุญของโยมผู้หญิงหรือ ?” หลวงพ่อบอกว่า “เรื่องทำบุญ โยมผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำ ลำพังตัวเองคงไปสุคติไม่ได้ อาศัยความดีของหลวงพ่อช่วยเกื้อหนุน”
กำเนิด
เมื่อ โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงแต่งงานกันแล้ว ได้มาพำนักอยู่ที่บ้านยอด อันเป็น ถิ่นฐานทางฝ่ายโยมผู้หญิง หลังจากนั้น ทั้งโยมผู้ชายและโยมผู้หญิงก็ชวนกัน รักษาศีล เพื่อขอให้ได้บุตรที่เป็นอภิชาตบุตร ซึ่งโยมผู้ชายบอกให้หลวงพ่อทราบในภายหลังว่า... “คุณ...ก่อน ที่คุณจะเกิดนั้น โยมผู้ชายตั้งจิตอย่างแน่วแน่ว่า ลูกที่จะเกิดนี้ ขอให้เป็นอภิชาตบุตร หรือ มิฉะนั้นก็ให้เป็นบุตรที่เสมอกับบิดา อย่าให้ได้บุตรที่ต่ำกว่าบิดามารดา มา เกิดเป็นอันขาด”
โยมผู้หญิงเล่าให้คุณจุน ศรีนาค น้องชายต่างบิดาของหลวงพ่อฟังว่า... “ก่อน ที่หลวงพ่อปลื้มเกิดนั้น โยมผู้หญิงฝันว่า มีชีปะขาวคนหนึ่งนำมีดมาส่ง ให้ แล้วสั่งว่าเก็บรักษาไว้ให้ดี โยมผู้หญิงรับมีดนั้นด้วยความดีใจ เมื่อ นำมีดมาพิจารณาดู จะเห็นว่าไม่เหมือนกับมีดทั่วไป เพราะมีสามคม รูปร่าง คล้ายพระขรรค์”
ระหว่าง ที่โยมผู้หญิงตั้งครรภ์ โยมผู้ชายกำลังทำงานวาดภาพฝาผนังมณฑปวัดน้อย ดัง นั้น ทุกเส้นสีที่ปรากฏเป็นภาพบนฝาผนังนั้น ผสมผสานออกมาด้วยความรักของพ่อ และแรงอธิษฐานจิต ที่มุ่งหมายมอบลูกชายในท้องไว้กับพระพุทธศาสนา ปรารถนาให้ เป็นอภิชาตบุตร เจริญก้าวหน้ากว่าพ่อแม่ทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ และที่ สำคัญก็เพิ่อให้เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนา...
ใน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปี มะแม โยมผู้หญิงให้กำเนิดบุตรชาย เป็นหลานคนแรกที่ญาติ ๆ ต่างปลื้มใจ อันเป็นต้นเหตุให้ได้ชื่อแต่นั้นมาว่า ปลื้ม ศุภพินิจ
โยม ผู้ชายรักและหวงลูกชายมาก มีน้า ๆ ที่เป็นผู้หญิงหลายคนมักจะมาเล่นกับหลาน โยมผู้ชายไม่ค่อยยอมให้เล่นด้วย จะ ขัดขวางโดยอ้างว่าให้หลานนอนบ้าง อย่ากวนบ้าง ตามแต่ที่จะห้ามปรามได้ ที่ สุด ขนาสถือไม้เรียวขวางไว้ตลอดเวลา แล้วกำชับกับน้า ๆ ว่า “คนมีบุญจะนอนอย่ามากวน” แต่ น้า ๆ ก็ยังแอบมาเล่นด้วยและป้อนอาหารจนหลานชายชักตาตั้งนิ่งไป เหตุเพราะเสลดหางวัวตีขึ้น โยมตาเห็นเหตุการณ์ จึงร้องสั่งให้เอากระเพรามา เพื่อใช้แก้ไขอาการของหลานชาย ขณะนั้นโยมผู้ชายระลึกถึงคำพูดของหลวงพ่อ เนียมได้ว่า ถ้าจะแก้ไขลมชนิดนี้ให้เอาน้ำเกลือให้กิน โยมผู้ชายจึงเอาเกลือ มาบี้ ๆ ตามตำราของหลวงพ่อเนียม ครั้งแรกโยมตาไม่ยอม แต่เมื่อฟังเหตุผลของโยมผู้ชาย ที่กล่าวว่า... “พ่อ ไม่ทำให้ลูกตายดอก” จึงจำต้องยอมให้โยมผู้ชายรักษาด้วยการกรอกน้ำเกลือ และที่สุด เด็กชายปลื้มก็หายเป็นปกติ
อีกเรื่องหนึ่งที่โยมผู้ชายเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า “หลวงพ่อเกิดมามีบุญพูดได้ของกิน เพราะ เมื่อตอนเด็ก ๆ เล่นอยู่บนบ้านที่ปลูกอยู่ติดกับริมแม่น้ำ มีแม่ค้าพายเรือผ่าน หลวงพ่อมอง เห็นก็เรียก แม่ค้า แม่ค้า จนเขาหันมา หลวงพ่อร้องถามไปว่า ขายอะไร ? เขาบอกว่า มีแต่กล้วย หลวงพ่อก็ตอบไปว่า มีแต่กล้วยก็ดี วันนั้นแม่ค้าขาย กล้วยได้เหมาไปหมดลำเรือ แต่แม่ค้าขอเก็บไว้หนึ่งหวี บอกผู้ซื้อว่า จะเอาไป ให้ไอ้หนู...” เรื่องนี้จึงอาจจะเป็นเหตุหนึ่ง ที่ ของแก้บนที่มีผู้บนขอความช่วยเหลือจากหลวงพ่อ จะมีกล้วยเป็นหลัก และมีพวง มาลัยหรือดอกไม้ประกอบมาด้วย
และ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ เป็นเหตุบอกล่วงหน้า คือการเล่นของหลวงพ่อกับน้า ๆ ที่อยู่ในวัยใกล้คียงกัน ที่เล่นบ่อยมาก หลวงพ่อจะสั่งให้น้า ๆ ไปหาดอกไม้มาไหว้พระ เล่นไหว้พระกัน ผู้ที่เล่นเป็นพระก็คือหลวงพ่อนั่น เอง และน้า ๆ ก็จะทำตามที่หลวงพ่อสั่งทุกครั้งเช่นกัน
ใกล้ชิดวัดน้อย
เนื่อง จากโยมผู้ชายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อเนียม ลูกชายคือเด็กชายปลื้ม ศุภ พินิจ จึงตกอยู่ในแอ่ง มีหลวงพ่อเนียมวัดน้อยพระกรรมฐานชื่อดังของ สุพรรณฯ มีโยมผู้ชายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อเนียมและทำกรรมฐานถึงขั้นที่ หลวงพ่อเนียมครอบให้เป็นครูกรรมฐาน มีหลวงลุงโตเคี่ยวเข็ญเรื่องการศึกษา มี โอกาสเข้าไปกราบและอยู่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อเนียม ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ เมื่ออายุประมาณ ๒ ขวบ หลวงพ่อเนียมเมตตาให้ตะกรุดสาม กษัตริย์ (เงิน ทอง นาก)
หลัง จากนั้น ชีวิตในวัยเด็กก็จะวนเวียนอยู่ที่บ้านสวนขิง บ้านยอด และวัด น้อย กลางวันอยู่วัดน้อย กลางคืนอยู่บ้าน แม้เมื่อแรก ๆ ที่โยมแยกทางกัน กลางคืนก็จะกลับไปอยู่กับโยมผู้หญิงที่บ้านยอด จนกระทั่ง โยมผู้ชายมั่นใจว่าโยมผู้หญิงไม่ยอมใจอ่อนคืนดีด้วยแล้ว จึงละเพศฆราวาสบวช พระอยู่ที่วัดน้อยนั้นเอง ส่วนเด็กชายปลื้มต้องห่างวัดน้อยโยกย้ายตามไปอยู่ กับโยมผู้หญิงระยะเวลาหนึ่ง เพราะยังเป็นเด็กและยังติดแม่อยู่เช่นเด็กทั่ว ๆ ไป จนโยมผู้หญิงมีครอบครัวใหม่ อาสำเนียงและโยมผู้ชายจึงไปขอรับเด็กชาย ปลื้มกลับมาอยู่วัดน้อย ในครั้งนี้โยมผู้หญิงไม่ขัดข้อง เป็นเหตุให้เด็กชาย ปลื้มได้ใกล้ชิดโยมผู้ชายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
นับ แต่นั้นมา วันเวลาทั้งหมดของเด็กชายปลื้มจึงอยู่ที่วัดน้อย เป็นเด็กวัด บ้าง เป็นสามเณรบ้าง มีโอกาสบวชเณรหลายครั้ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นการรับจ้าง บวชเณรหน้าศพ แล้วที่สุด เมื่อบวชเณรหน้าศพให้แก่โยมปู่ตู้แล้ว สามเณรปลื้ม ไม่ยอมสึก ตั้งใจอยู่ในสมณเพศ สมความปรารถนาที่ตั้งไว้ของโยมผู้ชาย
โยม ผู้ชายห้อมล้อมและผลักดันให้เด็กชายปลื้มเข้าสู่กระแสธรรม พยายามฝึกฝนลูก ชายให้ภาวนาตั้งแต่ยังเป็นเณรน้อย ทำให้มีพื้นฐานการภาวนาจากโยมผู้ชายอยู่ บ้าง แต่ไม่ทั้งหมดที่โยมผู้ชายมีอยู่ในตอนนั้น เพราะเด็กชายปลื้มสนใจในทาง ปริยัติมากกว่า
ครั้ง หนึ่งสามเณรปลื้มติดตามโยมผู้ชายไปจำพรรษาที่วัดม่วง อำเภออู่ทอง จังหวัด สุพรรณบุรี ในครั้งนี้ โยมผู้ชายพิจารณาดูแล้วจึงบอกกับเณรลูกชายว่า “มาอยู่ห่างไกลเช่นนี้ ความก้าวหน้าทางการศึกษาของเณรคงจะเป็นไปได้ยาก” จึงตัดสินใจพาสามเณรกลับมาวัดน้อย ได้หลวงลุงโตกวดขันวิชาพื้นฐานต่าง ๆ ให้
ใน วัยเด็กนี้ ภาพที่สามเณรปลื้ม ศุภพินิจ จำได้ติดตาคือ คนในสมัยนั้นเคารพพระ ธรรมมาก สามเณรปลื้มองค์น้อย ๆ ถือคัมภีร์ใบลานแบกไว้บนบ่า เดินผ่านไปเท่านั้น ญาติโยมแม้จะแก่เฒ่าปาน ใด ก็จะนั่งลงไหว้ด้วยอาการอันนอบน้อมในทันที
ชีวิตในวัยเด็กที่วัดน้อย หล่อหลอมให้สามเณรปลื้มมีพื้นฐานทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ จนหลวงพ่อปลื้มต้องเอ่ยให้ฟังอยู่เสมอว่า... “วัดน้อย เป็นวัดที่ให้ความสว่างแก่หลวงพ่อ”
การศึกษา และ บรรพชา
โยม ผู้ชายไม่สนับสนุนให้ลูกชายเรียนหนังสือเหมือนกับเด็กอื่น ๆ ตั้งใจให้ลูกชายก้าวหน้าในสมณเพศและมุ่งให้เรียนทางธรรม โดยเริ่มศึกษา วิชาต่าง ๆ จากหลวงลุงโต สามารถเรียนจบอักขระหนังสือไทย เรียนอ่านพระมาลัยที่เขียนด้วย อักษรขอม และเรียนมูลกัจจายน์
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า “เมื่อตอนหลวงพ่ออายุได้ประมาณ ๑๒ ขวบ ฝันว่า อาบน้ำแต่งตัวห่มผ้าเฉวียงบ่า และนั่งเรียนหนังสือขอม เป็นความฝันที่หลวงพ่อจำได้แม่นยำ” มี ผลต่อมาแก่ชีวิตของหลวงพ่อ คือได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดน้อย อำเภอบางปลา ม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้ศึกษาก้าวหน้าทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ และอยู่ใน สมณเพศตลอดชีวิต
อา สำเนียง ศุภพินิจ มีโอกาสกลับบ้านเกิด เมื่อได้พูดคุยกับหลานชาย ก็ทราบจุด ประสงค์ที่ต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในด้านปริยัติธรรม อาจึงสอบถาม เรื่องสถานที่เรียน จนที่สุด มีความเห็นพ้องกันภายในครอบครัวว่า ควรได้ไป สู่สำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ
เมื่อ โยมผู้หญิงทราบว่า สามเณรลูกชายจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ สู่สำนักวัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์ เพื่อไปศึกษาหาความรู้ทางด้านปริยัติธรรม ก็ยินดีอนุโมทนา พร้อมทั้งได้มอบปัจจัยให้ติดตัวไปด้วย
จาก นั้น อาสำเนียงจึงพาสามเณรปลื้มเข้ากรุงเทพฯ ผู้ที่นำเข้าไปฝากให้พำนัก ณ วัดมหาธาตุฯนั้น เป็นหมอนวดนวดพระเจ้าแผ่นดินและพระผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสพิเศษ ให้เข้าอยู่ในกุฏิคณะ ๑ อันเป็นคณะของสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) มีหน้าที่ดูแลต้นชมพูและต้น มะตูมเปลือกบางที่อยู่หน้ากุฏิ ในระยะแรกโยมยายและโยมน้า ได้ติดตามสามเณร ปลื้มเข้ากรุงเทพฯมา ด้วยความห่วงใย โดยพักอาศัยและค้าขายอยู่ในวัง จุด ประสงค์ใหญ่ก็คือ ตามมาดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่สามเณรหลานชายนั่นเอง ทำ หน้าที่ส่งปิ่นโตให้อยู่ระยะหนึ่ง จนมั่นใจว่า สามเณรปลื้มสามารถดูแลรักษา ตัวเองได้ดีแล้ว จึงหมดห่วงและจากไป
อีก หน้าที่หนึ่งที่สามเณรปลื้มต้องรับผิดชอบก็คือ หน้าที่สามเณรเวรคอยรับใช้ สมเด็จฯ หน้าที่ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญมากที่อบรมบ่มสามเณร ให้อยู่กับความ ระมัดระวัง ละเอียด ประณีต และอยู่ในกรอบของระเบียบวินัย จึงส่งผลถึงการ สั่งสมจริยาวัตรและวัตรปฏิปทาที่หมดจดงดงามในกาลต่อมา หากมีการพูดถึงวัตร ที่ถูกต้องเรียบร้อยประณีตของหลวงพ่อ ท่านจะบอกทันทีว่า... “หลวงพ่อทำตามอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อ”
นอก จากนี้ในเวลาที่สมเด็จอุปัชฌาย์หงุดหงิด ท่านจะเรียกสามณรปลื้มเข้าไปอ่าน หนังสือให้ฟัง เมื่อสามเณรปลื้มอ่านคำใดไม่ออกท่านก็จะบอกให้ทีละคำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้สามเณรปลื้มต้องพยายามพัฒนาการอ่านที่ขัดข้องอยู่ให้แตกฉาน หลวง พ่อสรุปให้ฟังว่า “หลวงพ่อทำให้สมเด็จท่านหายหงุดหงิด”
ตลอด เวลาที่ศึกษาหาความรู้อยู่ที่วัดมหาธาตุฯนี้ สามเณรปลื้มจะไม่ค่อยกลับบ้าน เกิดเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะจิตใจมั่นอยู่วัด แต่ถ้าจะกลับ ก็กำหนดวันกลับวัดไว้เลยว่า จะไป ๒ วัน หรือ ๓ วัน
มี ระเบียบของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์อยู่ข้อหนึ่งว่า พระเณรที่เข้ามาอยู่ ใหม่ในวัด ต้องบวชใหม่ เพื่อให้พระเณรในวัดทุกรูปมีอุปัชฌาย์องค์เดียว กัน ดังนั้น ในวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๕ อายุได้ ๑๕ ปี สามเณรปลื้ม ศุภพินิจ จึงต้องบรรพชาเป็นสามเณรใหม่อีกครั้ง ในครั้งนี้ มีสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายาว่า “จิตฺตหารี” และ มีสามเณรชื่อปลื้มพ้องกันอยู่อีก ๑ รูป มีพระอาจารย์ปกครองคือพระครูวินัยธร (ประหยัด แก้วดิลก) ท่านเป็นพระนักเทศน์มหาชาติที่มีชื่อเสียง ส่งผลให้สามเณรมีความสามารถใน การเทศน์มหาชาติ และเคยขึ้นเทศน์ที่วัดมหาธาตุฯในขณะที่ยังเป็นสามเณร มีพระ อมรเมธาจารย์ (สาหร่าย) เป็นอาจารย์สอนภาคปริยัติ โดยศึกษาทั้งนักธรรมและ บาลีควบคู่กันไป
หลวงพ่อเล่าถึงเรื่องการเรียนบาลีว่า “เรียนได้ชนิดสอบได้ปีสอบตกปี” แต่ ก็ด้วยความกตเวทิตาปรารถนาให้จุดประสงค์ของโยมผู้ชาย ที่ต้องการให้บุตรชาย เป็นอภิชาตบุตรนั้นสัมฤทธิ์ผล สามเณรปลื้มจึงตั้งใจเพียรพยายามศึกษาเล่า เรียนทางปริยัติ ณ สำนักวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จนประสบผลสำเร็จดังนี้
พ.ศ.๒๔๖๙ สอบได้นักธรรมชั้นตรี
พ.ศ.๒๔๗๑ สอบพระบาลีได้ประโยค ๓
พ.ศ.๒๔๗๒ สอบได้นักธรรมชั้นโท
พ.ศ.๒๔๗๔ สอบพระบาลีได้ประโยค ๔
พ.ศ.๒๔๗๖ สอบได้นักธรรมชั้นเอก
อุปสมบท
สามเณร ปลื้ม ศุภพินิจ ได้อุปสมบท เมื่อวันพุธที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๑ ตรงกับวัน ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง เวลา ๑๔ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ โดยมีสมเด็จพระ วันรัต (เฮง เขมจารี) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสมโพธิ (สวัสดิ์) เป็นพระกรรม วาจาจารย์ พระนิกรมมุนี (ปลื้ม) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “จิตฺตสญฺญโต” แปลว่า “จิตที่สำรวมดีแล้ว”
หลวงพ่อเล่าถึงฉายาที่สมเด็จอุปัชฌาย์ตั้งให้ว่า ในบางครั้งที่พระมหาปลื้มไม่สำรวม สมเด็จอุปัชฌาย์จะขนาบดุเอาว่า “อุตส่าห์ตั้งฉายาให้ดีแล้วนะ”
ใน ช่วงศึกษาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯนี้ หลวงพ่อเล่าว่าสะสมหนังสือไว้มากมายหลาย ประเภท ขนาดมีอยู่เป็นตู้ มีเพื่อนบรรชิตมาขอยืมไปอ่านเป็นประจำ แต่มาภาย หลังเห็นว่าเป็นภาระ จึงแจกจ่ายให้ผู้ที่ต้องการไปหมด ผลจากการอ่านและ สามารถจดจำไว้ได้มากมาย ทำให้หลวงพ่อยกข้อความในหนังสือเหล่านั้นออกมา ประกอบการอบรม สั่งสอน ตักเตือน ให้สติแก่ศิษย์ ได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนและ แจ่มแจ้ง เช่น ครั้งหนึ่ง มีผู้ซักถามหลวงพ่อเกี่ยวกับ โลกียะกับโลกุ ตตระ หลวงพ่อยกร้อยกรองของท่านสุนทรภู่ จากเรื่องพระอภัยมณี ขึ้นมาอธิบาย ว่า แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา ถ้ายังคิดอย่าง นี้ ยังเป็นโลกียะอยู่ โลกุตตระคือไม่มีเยื่อใย ไม่มีเยื่อใยกับความรู้สึก ที่มากระทบ ถ้ายังทำไม่ได้ก็ยังเป็นโลกียะอยู่ ก็ทำไป ถ้าหันเหมาได้ ก็เป็น โลกุตตระ
หลัง จากที่พระมหาปลื้มสอบได้เปรียญธรรม ๔ แล้ว ได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ครูสอนบาลีไวยากรณ์ ณ สำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.๒๔๗๔-๒๔๗๕ และหลังจากนั้นก็ได้ออกไปเป็นครู อยู่ในสำนักเรียนต่าง จังหวัดหลายแห่ง เช่น วัดเจ้าเจ็ดใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดโคก ทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดปราสาททอง จังหวัดสุพรรณบุรี และวัดสวน หงส์ จังหวัดสุพรรณบุรี
https://www.web-pra.com/amulet/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B9%8C/history
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น